วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

ผลจากการให้เด็กดื่มนมวัว





ให้เด็กดื่มนมวัว อาจทำให้โง่กว่าที่ควรเป็น

ดื่มนมวัวแล้วโง่ เป็นไปได้ยังไง!!? หลายคนอาจจะตกใจกับข้อความนี้เพราะมันช่างผิดกับภาพฝันที่ถูกบอกต่อกันมาโดยสารพัดหน่วยงาน แม้แต่หน่วยงานของรัฐก็ยังพยายามออกมาส่งเสริมให้เด็กไทยดื่มนมวัวมากขึ้นทำให้เราศรัทธาได้ว่า ดื่มนมวัวน่าจะมีแต่ผลดีต่อสุขภาพแน่นอน

แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ออกมาบ่งชี้ถึงผลเสียของนมวัวมากขึ้นและมากขึ้น แต่ด้วยความคิดที่นมวัวได้กลายเป็นอาหารศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ไม่สามารถแตะต้องได้ ปฏิกิริยาหลังการได้ยินใครพูดถึงผลเสียของนมวัวยังกับว่าจะเป็นบาปกันอย่างนั้นแหละ ผู้คนส่วนใหญ่พอได้ยินข้อมูลเรื่องผลเสียของนมวัวจึงรีบปิดหูปิดตาตนเองเสียว่าไม่ได้ยินไม่ได้ฟังมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าความจริงก็ยังคงอยู่ตรงหน้านั้น ไม่ได้หายไปไหน

คนฉลาดกับคนธรรมดาล้วนมีศรัทธาต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้เหมือนกัน แต่คนฉลาดต่างกับคนทั่วไปเพราะก่อนที่เขาจะเลือกศรัทธากับอะไร ล้วนต้องมีปัญญามากำกับ แทนที่จะรีบปิดรับข้อมูล เราลองมาใช้ปัญญาสำรวจดูความจริงสีดำของเจ้าน้ำนมสีขาวที่คนไม่ค่อยกล้าพูดถึงกันหน่อยดีไหม

ถ้าใครได้ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการให้เด็กทารกดื่มนมวัวในแคนาดา จะพบปรากฏการณ์หนึ่งที่หน้าสนใจ นั่นคือ สมาคมผู้บริโภคของแคนาดาได้รณรงค์และผลักดันให้บังคับใช้กฎหมาย ห้ามบริษัทนมวัวที่นั่นโฆษณาว่า "ดื่มนมวัวสูตรพิเศษของบริษัทเราแล้วเด็กจะฉลาดขึ้น"

ที่องค์กรผู้บริโภคต้องออกมาผลักดันเรื่องดังกล่าวเนื่องจากพบว่า นอกจากโฆษณาดังกล่าวจะไม่เป็นความจริงแล้ว ยังมีงานวิจัยที่พบอีกว่าเด็กที่ดื่มนมวัวแทนการกินนมแม่จะทำให้สมองไม่สามารถเจริญได้ดีเท่าเด็กที่มีโอกาสกินนมแม่ กล่าวสั้นๆ คือ "โง่กว่าที่ควรจะเป็น"

มีการค้นพบว่าสมองของเด็กที่เกิดออกมา จะพัฒนาไปได้เพียง 30% เท่านั้น แล้วจะมาเจริญต่ออีกภายนอกโดยอาศัยหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญก็คือสารอาหารที่ได้เข้าไป ว่ากันตามสายวิวัฒนาการแล้ว สมองของเด็กที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ก็เปรียบเสมือนสมองของลิง เมื่อลิงเริ่มรู้จักกินปลาก็เริ่มได้สารอาหารใหม่ๆ เข้าไป สารอาหารที่ว่าคือกรดไขมัน DHA (Omaga-3), ARA (Omega-6) จะเข้าไปเป็น Precursor (สารตั้งต้น) และ Taurine(ทอรีน) ซึ่งเป็น Neural growth factor(สารกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมอง) ที่กระตุ้นให้เกิดวิวัฒนาการของสมองให้ฉลาดขึ้นจนทัดเทียมกับสมองคนอีกทีหนึ่ง

บริษัทนมวัวรู้ถึงจุดด้อยข้อนี้ดี ในระยะแรกบริษัทนมวัวจึงพยายามชดเชยจุดด้อยดังกล่าวด้วยการเติม Taurine ลงไปในนมวัว โดยหวังว่าจะทำให้เด็กที่ดื่มนมวัวมีพัฒนาการทางสมองเท่าเทียมกับเด็กที่ดื่มนมแม่ แต่จนแล้วจนรอด งานวิจัยก็ยังออกมายืนยันเหมือนเดิมว่า การเติม Taurine ลงไปในนมวัวไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ เพราะเด็กที่ดื่มนมแม่ยังมีค่าการพัฒนาการทางสมองมากกว่าเด็กที่ดื่มนมวัวถึง 3.5 แต้ม นั่นคือมีพัฒนาการต่อเนื่องเต็ม 70% ที่เหลือ ในขณะที่เด็กที่ดื่มนมวัวสมองยังไม่ได้พัฒนาการไปจากสมองลิงเท่าไหร่

บริษัทนมวัวจึงพยายามมองต่อไปอีกว่า ในนมแม่มี DHA และ ARA ในขณะที่นมวัวสูตรผสม Taurine ไม่มีเจ้าสาร 2 ตัวนี้ น่าจะเป็นคำอธิบายว่า ทำไมผลงานวิจัยจึงออกมาว่าเด็กที่กินนมแม่จึงยังคงมีพัฒนาการทางสมองดีกว่าเด็กที่ดื่มนมวัว

และเมื่อข้อมูลด้านนี้เริ่มเป็นที่รับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ในบรรดาประชาชนชาวแคนาดา เดือดร้อนไปถึงบริษัทนมวัวดังกล่าวเพราะกระทบยอดขาย จึงมีความพยายามคิดสูตรนมใหม่เพื่อชดเชยจุดด้อยของนมวัว ในเมื่อนมวัวไม่มี DHA ก็เลยเติม DHA ใส่ลงไปในนมวัวซะเลย

แทนที่จะพูดว่าเป็นการชดเชยจุดด้อยของนมวัว ทางบริษัทนมวัวดังกล่าวกลับเอามาเป็นจุดขายซะ โดยเริ่มโหมโฆษณาว่า นมวัวสูตรใหม่นี้ช่วยให้เด็กที่กินแล้วฉลาดกว่าเด็กอื่นแทน (ทั้งที่จริงๆ แล้ว อย่างมากก็แค่ฉลาดทัดเทียมกับเด็กที่กินนมแม่) หนำซ้ำ...จะว่าเป็นความโชคร้ายของเด็กรุ่นนั้นก็ได้ที่ในระยะแรก บริษัทนมวัวได้ทำการเติมแต่ DHA ลงไปในนมวัวสูตรใหม่ แทนที่จะดี กลับมีงานวิจัยออกมาว่า เด็กที่กินนมวัวสูตรนี้กลับมีพัฒนาการที่แย่กว่านมแม่อยู่ดี

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า โดยธรรมชาติแล้ว ระบบตอบสนองทางเคมีนั้น จำเป็นจะต้องใช้ทั้ง DHA และ ARA ในกระบวนการนั้นอย่างสมดุล ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งไป กระบวนการทั้งหมดจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย การโฆษณาที่ว่า ดื่มนมวัวสูตรเสริม DHA แล้วเด็กฉลาดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง เพราะนอกจากจะไม่ฉลาดขึ้นกว่าเด็กปกติแล้วกลับโง่ลงกว่าศักยภาพที่เขาควรเป็น

บริษัทนมวัวดังกล่าวจึงพยายามปรับแก้เกมอีกหน ด้วยการเติม ARA ลงไปในนมวัวอีกตัวหนึ่ง พร้อมกับสร้างแคมเปญใหม่เรื่อง "นมวัวสูตรสมดุล" บอกว่าปรับปรุงใหม่ (แต่ไม่เคยมีแม้เสียงกระซิบบอกประชาชนคนทั่วไปเลยว่าทำไมต้องปรับสูตรใหม่) แน่นอนว่าบริษัทนมอื่นๆ ก็เลยต้องมีการปรับสูตรนมวัวของตัวเองด้วยเช่นกัน

เพื่อให้นมวัวยังคงขายได้ จะเห็นว่ามีการเติมสารต่างๆ ลงไปเพื่อชดเชยข้อด้อยให้นมวัวมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่นั้นมา สิ่งที่เรารับรู้กันทั่วไปก็คือ มีข่าวการเรียกเก็บนมล๊อตต่างๆ ที่เด็กกินแล้วมีปัญหาถี่ขึ้น เดี๋ยวๆ ก็มีข่าวเรียกเก็บนมอีกยี่ห้อแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเราแทบจะไม่เคยได้ยินปรากฏการเรียกเก็บนมวัวที่มีปัญหาเลย สาเหตุหนึ่งที่เป็นปัญหาก็คือ แหล่งสารอาหาร AHA, และ ARA นั้นต้องเอามาจากสาหร่ายทะเลเป็นส่วนใหญ่ สาหร่ายทะเลมีหลายชนิด ชนิดที่เป็นพิษก็มี ถ้ามีปนเปื้อนเข้ามาแม้เพียงเล็กน้อย ก็เป็นพิษต่อเด็กทารกได้

ทางสมาคมผู้บริโภคทนไม่ได้กับปัญหาดังกล่าว จึงออกมาเรียกร้องให้ปลดโฆษณาดังกล่าวออกจากสื่อทั้งหมดที่มีในแคนาดา และหลังจากผ่านการต่อสู้ที่ค่อนข้างยาวนาน ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ ในแคนาดาจึงไม่มีโฆษณาเกินจริงในลักษณะดังกล่าวเกี่ยวกับนมวัวอีกต่อไป ฝันร้ายของชาวแคนาดาจึงสิ้นสุดลง

แต่ฝันร้ายของคนไทยเพิ่งจะเริ่มขึ้น เรามีโฆษณานมวัวที่เสริม AHA ในท้องตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ในโฆษณาจะเห็นเด็กที่ถูกทำท่าทางและพฤติกรรมให้ฉลาดกว่าเด็กคนอื่นในชั้นเรียน เป็นที่ชื่นชมของคุณครูและพ่อแม่ออกมาวิ่งเล่นและดื่มนมวัวสูตรดังกล่าวให้เห็น รัฐบาลของเราออกมาเรียกร้องให้เด็กดื่มนมวัวมากขึ้นหลังจากเปิด FTA นม จนกลบข่าวสารสำคัญจากแคนาดาไปหมด ผมหวังว่าคุณพ่อคุณแม่ที่มีโอกาสได้อ่านบทความนี้ จะช่วยกันเผยแพร่ความจริงข้อนี้ต่อๆ กันไป เพื่ออนาคตของเด็กไทยที่ฉลาดในวันหน้านะครับ เอ้า!... ช่วยกันหน่อยพวกเรา